เช่าวิทยุสื่อสารแทนการซื้อได้ไหม แล้วควรเริ่มต้นอย่างไร?

เช่าวิทยุสื่อสารแทนการซื้อได้ไหม แล้วควรเริ่มต้นอย่างไร

องค์กรหรือผู้ประกอบการที่อยากใช้วิทยุสื่อสารในการประสานงานกับทีมงานและพนักงาน แต่รู้สึกไม่อยากซื้อมาหลาย ๆ เครื่อง เพราะล้วนเป็นต้นทุนที่ไม่รู้ว่าใช้แล้วจะคุ้มค่าในระยะยาวหรือเปล่า แถมเป็นมือใหม่กันทั้งหมดถ้าจะเริ่มต้นใช้งานแบบงง ๆ ไม่รู้รหัสและเรื่องข้อกฎหมายเท่าที่ควร การเช่าวิทยุสื่อสาร อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า แถมบริษัทที่ให้เช่ายังมีประสบการณ์ ให้คำแนะนำในการใช้ได้อย่างถูกต้องอีกด้วย

ข้อควรพิจารณาการเช่าวิทยุสื่อสารที่คุณควรรู้

จะเลือก เช่าวิทยุสื่อสาร ทั้งที่ ควรรู้รายละเอียดของแต่ละบริษัทที่ให้เช่า นอกจากเตรียมข้อมูลฝั่งตัวเองและเตรียมเงินสำหรับเช่าแล้ว ควรศึกษาข้อมูลการบริการของบริษัทนั้น ๆ ให้ดีด้วยว่ามีความน่าเชื่อถือ และให้บริการตอบโจทย์อะไรบ้าง ซึ่งหลัก ๆ ที่ควรพิจารณาก็คือ

1.ระยะการส่งสัญญาณของคลื่น ควรดูว่าบริษัทที่ปล่อยให้เช่าอุปกรณ์ชนิดนี้ให้เลือกแบบไหนบ้าง ยิ่งมีหลากหลาย ก็ทำให้เราสามารถเลือกวิทยุที่เหมาะสมกับการใช้งานส่งสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.เช็คว่าเป็นวิทยุที่ถูกกฎหมาย มีใบอนุญาตใช้งานหรือไม่  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาโดนค่าปรับตามมา

3.ถ้าจำเป็นต้องเช่าอุปกรณ์จำนวนมาก ๆ และไม่อยากได้การผูกมัดระยะยาว ควรดูข้อกำหนดของบริษัทที่ให้บริการให้ดีก่อน

4.เช็คดูว่าบริษัทที่ให้เช่าวิทยุสื่อสาร มีวิทยุที่ทันสมัย ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีหรือไม่ ซึ่งในปัจจุบันบริษัทที่ให้บริการด้านนี้แบบครบวงจรจะมีทั้งวิทยุแบบอนาล็อกและแบบดิจิตอลให้เลือก ไปจนถึงวิทยุสื่อสารทางไกลที่เรียกว่า ROIP เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยม แถมสะดวกสบายในการใช้งานในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

5.เลือกบริษัทที่มีรายละเอียดชัดเจน มีที่อยู่ ติดต่อได้ง่าย มีหน้าร้านสำหรับให้เข้าไปเลือกดูตัวเครื่องได้ หรืออมีอฟฟิศที่สามารถเข้าไปปรึกษาได้ เพื่อป้องกันการโดนโกง หรือได้รับวิทยุที่ไม่ใช่ของแท้มาใช้งาน จนเกิดปัญหาคลื่นสัญญาณรบกวน เสียงติด ๆ ขัด ๆ ตามมา จนใช้งานไม่ได้

ขั้นตอนการเช่าวิทยุสื่อสารมีอะไรบ้าง?

1.เลือกว่าจะเช่าระยะเวลานานแค่ไหน – โดยปกติจะมีระยะเวลาให้เช่าเริ่มต้นตั้งแต่ 1 วันเป็นขั้นต่ำ หรือจะเช่าแบบรายเดือน หรือรายปี

2.ตรวจเช็ควิทยุสื่อสารที่เลือกเช่าให้ดีก่อน – เมื่อได้อุปรกณ์ที่ต้องการ ตอบโจทย์การใช้งาน ให้ทดลองใช้สื่อสารกันดูก่อน เผื่อตัวเครื่องมีปัญหา หรือไม่ใช่อย่างที่ต้องการจริง ๆ จะได้เปลี่ยนได้ทัน

3.ทำการเซ็นสัญญาเช่า – เมื่อเลือกการใช้งานได้ตามต้องการแล้ว จะต้องเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร อ่านรายละเอียดข้อกำหนดให้ดีก่อนเซ็นยอมรับข้อตกลงจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบแบบไม่รู้ตัว

การบริการที่ดีของบริษัทที่ให้เช่าวิทยุสื่อสารจะต้องดูแลลูกค้าได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งถึงที่หมาย สอนการใช้งาน ตั้งค่าเลือกช่องส่วนตัวให้ ไปจนถึงการเตรียมเครื่องสำรองไว้ให้ลูกค้า กรณีเครื่องที่ใช้งานอยู่มีปัญหา ถือว่าเป็นการซัพพอร์ตหลังการขายแบบมืออาชีพ ตอบโจทย์การบริการได้อย่างมีคุณภาพ

วิธีเลือกใช้งานวิทยุสื่อสารกับองค์กร เลือกแบบไหนให้ได้ประสิทธิภาพ?

วิธีเลือกใช้งานวิทยุสื่อสารกับองค์กร เลือกแบบไหนให้ได้ประสิทธิภาพ

ระบบการสื่อสารด้วยวิทยุในปัจจุบันมีทั้งแบบอนาล็อกและดิจิทัล มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ซึ่งหลัก ๆ คือมีการส่งข้อมูลให้แก่กันในรัศมีที่กำลังสามารถส่งถึงได้ โดยแต่ละชนิดมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ในการใช้งานวิทยุสื่อสารสำหรับองค์กร ควรมีประสิทธิภาพในการรับส่งได้อย่างรวดเร็ว ลดปัญหาสัญญาณรบกวนได้ดี ที่สำคัญจะต้องมีใบอนุญาตชัดเจน เพื่อให้เกิดความสบายใจด้านข้อกฎหมายร่วมด้วย

ปัญหาการใช้งานวิทยุสื่อสารที่มักพบได้บ่อยในองค์กร

ลองเช็คดูว่าบริษัทของคุณดำเนินงานด้วยความยากลำบากในการสื่อสารอยู่หรือไม่? โดยเฉพาะบริษัทที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ การประสานงานกันกับคนอื่น ๆ กลายเป็นความล่าช้า และนี่คือปัญหาหลัก ๆ ที่ชวนปวดหัว

1.การสื่อสารกับคนที่อยู่ไกลกันในบริษัท ทำให้ต้องเดินทางไปหา เสียเวลาในการพูดคุยกันเป็นอย่างมาก

2.หากเป็นการติดต่อกันผ่านโทรศัพท์มือถือ นี่คือต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

3.การติดต่อผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตใช้เวลานานกว่าจะสรุปข้อมูลกันได้ เพราะคนทำงานภายในอาจไม่ค่อยได้จับมือถือ ทำให้เกิดปัญหางานคลาดเคลื่อนตามมา

วิทยุสื่อสาร ตัวช่วยแก้ปัญหาการประสานงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ถ้าหากบริษัทของคุณเผชิญกับปัญหาที่กล่าวไปข้างต้น วิทยุสื่อสาร คือทางออก เป็นตัวช่วยที่ดี แก้ไขข้อจำกัดในการดำเนินงานต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย โดยคุณสามารถเลือกประเภทของอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานได้ ดังนี้

1.วิทยุสื่อสารแบบอนาล็อก – เป็นระบบสื่อสารที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้รับความนิยมมายาวนาน คุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นหลัก ๆ เลยก็คือ สามารถส่งสัญญาณได้กับคู่สายเดี่ยว ๆ เท่านั้น ทำให้ไม่งงในการติดต่อพูดคุยกัน โดยเฉพาะมือใหม่ แต่ก็มีข้อเสีย หากใช้เป็นการสื่อสารที่เป็นความลับขององค์กร ถือว่ามีความปลอดภัยต่ำ เสี่ยงถูกดักฟังได้แบบไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับนำไปใช้ประสานงานแบบทั่ว ๆ ไป เช่น เรียกรถส่งของ, แจ้งสินค้าถึงคลัง, เรียกพนักงานมายังจุดหมาย เป็นต้น

2.วิทยุสื่อสารแบบดิจิทัล มีจุดเด่นอยู่หลายอย่าง เมื่อเทียบกับแบบอนาล็อก สามารถเลือกระบบการสนทนาได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบการสนทนากลุ่ม หรือใช้ส่วนตัว ระบบจะมีการเข้ารหัสสัญญาณ มีความปลอดภัยสูง สัญญาณรบกวนต่ำ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนดักฟัง จึงเหมาะสำหรับใช้งานในเชิงธุรกิจที่ต้องการให้แค่บางคนเข้าถึง หรือจะใช้งานทั่วไปก็ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามในการเลือกวิทยุสื่อสารสำหรับใช้ภายในองค์กรนั้น ควรเลือกประเภทที่สัมพันธ์กับลักษณะงานที่ทำ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แถมยังช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์ ติดต่อกันได้รวดเร็วทันใจมากกว่าด้วย

ประเภทของวิทยุสื่อสาร มีกี่แบบ? แล้วแตกต่างกันอย่างไร?

ประเภทของวิทยุสื่อสาร มีกี่แบบ แล้วแตกต่างกันอย่างไร

วิทยุสื่อสาร เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการใช้งานเพื่อการติดต่อกันภายในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีระยะพูดคุยห่างกัน ช่วยให้เกิดความรวดเร็วในการประสานงาน หรือสื่อสาร การใช้อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เสมือนโทรศัพท์ชนิด มีความรวดเร็วมากกว่าระหว่างฝ่ายส่งข้อมูลและฝ่ายรับข้อมูล สามารถติดต่อกันได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องเดินไปหากันให้เสียเวลา จนแผนงานต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างล่าช้า

และเพื่อการเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งาน ลองมาทำความรู้จักกับประเภทของวิทยุสื่อสารต่อไปนี้ ที่จะช่วยให้คุณเลือกแบบที่ใช้งานได้ตรงความต้องการมากที่สุด

การแบ่งประเภทวิทยุสื่อสารโดยดูจาก “สี” ของตัวเครื่อง

อาจเรียกว่า ว ดำ และ ว แดง ซึ่งเชื่อว่าเราส่วนใหญ่ ต้องเคยเห็นสีของอุปกรณ์ชนิดนี้กันมาทั้งสองแบบ สีเหล่านี้บ่งบอกถึงประเภทการใช้งานเอาไว้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ

1. เครื่องสีแดง

เป็นเครื่องที่ใช้สำหรับคนทั่วไป (Citizen Band) โดยมีคลื่นความถี่อยู่ในช่วง 245 MHz ใช้งานได้ 160 ช่องความถี่ กลุ่มประชาชนทั่วไป รวมถึงภาครัฐและเอกชน สามารถนำไปใช้ได้ แต่กระนั้นหากกำลังส่งมีมากกว่า 5 วัตต์ขึ้นไป จำเป็นต้องขอใบอนุญาต เป็นข้อกฎหมายสำคัญที่ต้องทำ ส่วนประเภทที่มีกำลังส่ง 10 วัตต์ขึ้นไป ต้องทำทั้งใบขออนุญาตสำหรับใช้งาน และใบอนุญาตสำหรับตั้งสถานีด้วย

2.เครื่องสีดำ

เครื่องจมีย่านความถี่อยู่ที่ 136-174 MHz  มีระยะการส่งสัญญาณอยู่ที่ 2 เมตร ในขณะแบบแรกจะอยู่ที่ 70 เซนติเมตร ดังนั้นเครื่องชนิดนี้จะไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงธุรกิจหรือกับประชาชนทั่ว อุปกรณ์วิทยุสื่อสารแบบเครื่องสีดำยังมีแบ่งออกเป็นประเภทย่อยอีก นั่นก็คือ

2.1.เครื่องสังเคราะห์ความถี่ประเภท 1 – บังคับให้ใช้ได้เพียงแค่ 18 หน่วยงาน ต่อมาคือ

2.2.เครื่องสังเคราะห์ความถี่ประเภท 2 – ผู้ใช้งานจะไม่สามารถปรับค่าความถี่ด้วยตัวเองได้ จะต้องใช้แค่คลื่นความถี่ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โดยทั่วไปออกแบบให้ไม่มีหน้าจอ ไม่มีตัวเลข นิยมใช้กับหน่วยงานรัฐ, องค์กรการกุศล, หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

2.3.เครื่องวิทยุสมัครเล่น – เป็นเครื่องที่เหล่าพนักงานมือสมัครเล่นนิยมใช้ แต่จะต้องมีการอบรม สอบให้ได้ก่อนจึงจะสามารถนำไปใช้ได้แบบไม่ต้องกลัวผิดกฎหมาย การใช้งานเหมือนกับประเภท 1 แต่แบ่งให้ใช้คลื่นความถี่จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มสมัครเล่น และมีเกณฑ์การใช้งานที่ต้องอยู่ในข้อกำหนด เรียกว่า Band Plan ที่ต้องศึกษาให้ละเอียด

จะเห็นได้ว่าสีของวิทยุสื่อสาร เป็นการแบ่งแยกประเภทการใช้งานระหว่างประชาชนกับภาคส่วนสำคัญที่ต้องใช้เพื่อประสานที่เป็นทางการ เพราะฉะนั้นคุณควรเลือกซื้อชนิดที่ถูกต้อง ไม่ผิดกฎหมาย ศึกษาเรื่องการขอใบอนุญาตให้ดี ไม่งั้นพลาดท่าขึ้นมา บอกเลยว่าค่าปรับชวนหนาวแน่นอน!

5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อวิทยุสื่อสาร ต้องพิจารณาอะไรบ้าง

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อวิทยุสื่อสาร ต้องพิจารณาอะไรบ้าง

ในการเลือกซื้อ วิทยุสื่อสาร สำหรับคนที่ใช้งานเป็นประจำ จำเป็นต้องมีการติดต่อประสานงานกับคนอื่นอย่างรวดเร็วให้ทันการณ์ จะต้องเลือกซื้อแบบที่มีคุณภาพ สื่อสารได้ชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกหลายแบรนด์ หลายรุ่น และแยกย่อยไปถึงระบบสัญญาณ กำลังส่ง และขนาดของตัวอุปกรณ์ด้วย ดังนั้นเพื่อเลือกซื้อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือข้อมูลที่คุณจะต้องนำไปใช้ประกอบการพิจารณา เพื่อให้ได้วิทยุสื่อสารที่ดีที่สุดในการใช้งานแบบไม่ต้องเสียน้อยเสียยากตามมาภายหลัง

1. เลือกซื้อแบบที่ถูกกฎหมาย

อุปกรณ์วิทยุสื่อสาร ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ภายใต้กฎหมายการควบคุม เพราะฉะนั้นควรมั่นใจว่าวิทยุที่ซื้อมาใช้งานนั้น มีการออกแบบให้ถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามนำไปดัดแปลง ที่สำคัญต้องมีใบอนุญาตชัดเจน ไม่งั้นอาจถูกปรับสูงถึงเครื่องละ 1 แสนบาทได้เลย

2. ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์

เนื่องจากรุ่นของอุปกรณ์เหล่านี้มีหลายแบบ และมีฟังก์ชั่นมากน้อยแตกต่างกัน ดังนั้นให้ถามตัวเองก่อนว่าจำเป็นต้องใช้งานระดับไหน ถ้าแค่ทั่วไป เน้นฟังก์ชั่นพื้นฐานก็เพียงพอ ส่วนใครที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ก็เลือกรุ่นที่มีฟังก์ชั่นที่ต้องการ จะได้คุ้มค่ากับราคา

3. กำลังส่งครอบคลุมได้ทั่วถึง

สิ่งสำคัญในการใช้งาน คือระยะครอบคลุมของสัญญาณ โดยปกติจำเป็นต้องสื่อสารกับคนอื่นในระยะไกลไม่เกินเท่าไหร่ ให้เลือกรุ่นที่สามารถส่งสัญญาณได้ถึง จะได้ใช้งานได้ง่าย ไม่เกิดอาการเสียงขาด ๆ หาย ๆ จนคุยกันไม่รู้เรื่อง

4. การใช้งานไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป

เนื่องจากระบบอุปกรณ์วิทยุสื่อสารในปัจจุบันมีการพัฒนามากขึ้น การใช้งานที่ออกแบบให้มีหลากหลายฟังก์ชั่น จนบางทีอาจจะเกินความจำเป็นของบางคน ดังนั้นควรเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสมกับตัวเองก็เพียงพอ ไม่ต้องเล่นระบบยาก ๆ เพราะนอกจากเสียเวลาเรียนรู้ ใช้งานไม่คล่อง ทำให้การสื่อสารติดขัด รับส่งไปยังคนอื่นช้าลงด้วย

5. แบรนด์มีการรับประกัน

ถือว่าเป็นความสำคัญอีกอย่างก่อนตัดสินใจซื้อ ต้องถามแบรนด์ไว้เลยว่าอุปกรณ์มีการรับประกันหรือไม่ แล้วรับประกันนานแค่ไหน ส่วนไหนบ้างที่รับประกัน โดยปกติควรจะมีการรับประกันนานกว่า 1 ปี เพราะบางคนเมื่อใช้งานทั่ว ๆ ไป เพียง 2-3 เดือน ก็เริ่มมีปัญหาขึ้นมา มารู้ทีหลังว่าประกันหมดแล้ว ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องซื้อเครื่องใหม่ไปโดยปริยาย เข้าตำราเสียน้อยเสียยาก แบรนด์กับคุณภาพจึงเป็นหนึ่งในข้อพิจารณาไม่ควรมองข้าม เพราะไม่งั้นคุณอาจพลาดได้อุปกรณ์ที่ไร้มาตรฐานมาใช้งานเอาได้

ลองนำเอาทั้งหมดนี้ไปพิจารณาก่อนเลือกซื้อวิทยุสื่อสารของคุณให้ดี จะได้ไม่พลาดท่าให้กับอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ หรือเป็นอุปกรณ์หลอกขายในราคาถูก ๆ ซื้อมาก็ไม่คุ้ม แถมยังใช้งานไม่ได้ดั่งใจ สุดท้ายก็ต้องซื้อใหม่ เพราะความรีบไม่ยอมศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน

มือใหม่ต้องรู้! ข้อห้าม และมารยาทในการใช้งานวิทยุสื่อสาร

มือใหม่ต้องรู้! ข้อห้าม และมารยาทในการใช้งานวิทยุสื่อสาร

การใช้งาน วิทยุสื่อสาร เราอาจจะเห็นในคนที่ทำงานราชการ ตำรวจ ทหาร หรือหน่วยจราจร ที่ต้องติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังมีการนำเอาอุปกรณ์นี้ไปใช้งานในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเอาไว้ติดต่อกับพนักงานในโกดัง, ในบริษัท, ในร้านค้าขนาดใหญ่, ในห้างสรรพสินค้า ฯลฯ มือใหม่ที่เพิ่งหันมาสนใจการใช้งาน อาจจะเรียนรู้สักหน่อยว่า ในการสื่อสารจะมี “ข้อห้าม” และ “มารยาท” เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดระหว่างฝ่ายส่งและฝ่ายรับ ถือเป็นมาตรฐานสากลที่ยอมรับใช้กันมายาวนาน

เข้าใจข้อห้ามในการใช้วิทยุสื่อสาร

ข้อห้ามถือว่าเป็นกฎหมายที่ถูกตั้งขึ้นเป็นข้อบังคับในการใช้งานเลยก็ว่าได้ โดยหลัก ๆ มีสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องรู้เอาไว้ นั่นก็คือ

1.ห้ามส่งข้อความที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือเป็นข้อความที่เป็นเท็จ

2.การใช้งานวิทยุสื่อสารจะต้องได้รับในอนุญาตชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย

3.ห้ามไม่ให้ใช้ติดต่อสื่อสาร กรณีที่กำลังอยู่ในอาการมึนเมา หรือไม่สามารถควบคุมสติตัวเองได้ หากตรวจพบ จะโดนยึดใบอนุญาต และเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายได้อีกด้วย

4.ห้ามนำเอานามแฝงของคนอื่นมาใช้เพื่อแอบอ้าง เพราะจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความเสียหาย

5.อุปกรณ์นี้ถือว่าเป็นอุปกรณ์ส่วนตัว ห้ามไม่ให้คนอื่นนำเอาไปใช้ เพราะจะเกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด และเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้

มารยาทที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนใช้งาน

เนื่องจากการใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้ มักจะสามารถเข้าถึงช่องสัญญาณของคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นการมีมารยาทในการใช้ถือว่าเป็นวินัยสำคัญ และต้องรู้จักการรับส่งข้อความได้อย่างถูกต้องด้วย มารยาทที่พึงจำเอาไว้สำหรับการใช้งานมีดังนี้

1.ต้องฟังให้จบก่อนที่จะส่งสัญญาณตอบกลับไป หรือเรียกง่าย ๆ คือ ให้คนอื่นพูดจบก่อนที่จะตอบรับ แต่ในขณะเดียวกันผู้ส่งข้อความมาก็จะต้องรู้จักปิดจบให้อีกฝ่ายทราบว่าพูดจบแล้ว ถึงฝั่งผู้รับส่งสัญญาณกลับมาได้

2.หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาพูดธรรมดาในการสื่อสาร หรือภาษาท้องถิ่น เพราะจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้

3.ควรพูดให้กระชับได้ใจความ มือใหม่ที่เพิ่งหัดใช้ควรเรียนรู้รหัสให้ดี จำให้ได้ จะได้ใช้งานได้อย่างถูกต้อง

4.หากใช้งานช่องเดียวกัน อย่าส่งข้อความแทรกคนอื่นที่กำลังสื่อสารอยู่ ให้รอจังหวะคู่สถานะส่งสัญญาณจบก่อน แล้วค่อยส่งตามไป

5.ปุ่มพูดหรือที่รู้จักกันว่าปุ่ม PTT ไม่ควรถูกนำมากดเล่น หรือกดค้างไว้โดยไม่มีเหตุจำเป็น เพราะจะเป็นการรบกวน หรือก่อกวนผู้อื่น

6.มารยาทที่ดีคือการใช้วิทยุสื่อสารเพื่องานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ควรนำไปใช้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว

ข้อมูลทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งานวิทยุสื่อสารที่มือใหม่ทุกคนต้องเรียนรู้ และยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องศึกษาให้มาก โดยเฉพาะการใช้รหัสที่มักเกิดความผิดพลาดกันอยู่บ่อย ๆ

ทำความรู้จักกับวิทยุสื่อสาร และประโยชน์ในการใช้งาน 5 ข้อ

วิทยุสื่อสาร

วิทยุสื่อสาร ถือว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เพื่อการสื่อสารตามชื่อเรียก อีกชื่อหนึ่งของอุปกรณ์นี้ก็คือ วิทยุคมนาคม ระบบการทำงานจะทำการแปลงกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีส่วนของภาครับและภาคส่ง คลื่นส่งต่อกันผ่านอากาศ ใช้งานได้หลากหลาย โดยเฉพาะในหน่วยงานราชการ การสื่อสารในองค์กร  และในกลุ่มสมัครเล่น เป็นต้น

ประโยชน์ในการใช้งานวิทยุสื่อสาร

อย่างที่บอกไปข้างต้น นี่คืออุปกรณ์ที่ยังได้รับความนิยม ใช้งานกันอย่างจริงจัง และแพร่หลายอยู่ทุก ๆ พื้นที่ ไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงในต่างประเทศ ระดับสากลที่ใช้งานกันเป็นปกติ เพราะฉะนั้นเราลองมาดูกันดีกว่าว่าประโยชน์ของวิทยุสื่อสาร มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง?

1.ช่วยให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็ว

ในสถานการณ์ไหนก็ตามที่ต้องการ ๆ ติดต่อที่รวดเร็วทันใจ การเชื่อมต่อกันผ่านอุปกรณ์วิทยุสื่อสาร ช่วยได้มาก เพราะถ้ามีการพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา นั่นก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายพร้อมสแตนบายด์รอฟังเสียงว่าอีกฝั่งจะส่งสัญญาณพูดมาเมื่อไหร่ และพร้อมตอบกลับได้ในทันที เป็นประโยชน์อย่างมากในเหตุการณ์เร่งด่วน ฉุกเฉิน หรือมีอุบัติเหตุ การประสานงานจะเกิดขึ้นได้แบบไม่ต้องรอสายเหมือนโทรศัพท์มือถือ

2.ลดต้นทุนในการติดต่อ

การติดต่อของอุปกรณ์ชนิดนี้ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการรับส่ง ดังนั้นการส่งสัญญาณทั้งไปและกลับจะไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงใด ๆ ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ไม่ต้องเติมเงิน หรือจ่ายค่ารายเดือนทั้งสิ้น

3.ไม่ต้องเสียเวลามาชาร์จแบตฯ บ่อย ๆ

แบตเตอรี่ของวิทยุสื่อสารถูกออกแบบมาให้มีประโยชน์ในการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นั่นก็คือการเก็บแบตเตอรี่ที่ยาวนานได้หลายวันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ดังนั้นคุณมั่นใจได้เลยว่า ไม่ต้องพกอุปกรณ์ชาร์จติดตัวไปให้เกะกะ เพราะระยะความทนของแบตเตอรี่จะอยู่ที่ 1-2 วัน ถ้าไม่ใช้งานหนัก ๆ อาจใช้งานได้นานถึง 3 วัน

4.ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

การซื้ออุปกรณ์ชนิดนี้มาไว้ใช้เพื่อการสื่อสารที่จำเป็น ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องมาคอยจ่ายซ้ำซากแบบรายเดือน จ่ายครั้งเดียวจบ แล้วใช้งานติดต่อกับกลุ่มอื่นได้ตามต้องการ ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง มาตรฐานของการติดต่อจะมีช่องใหญ่หลัก ๆ ถึง 80 ช่อง และช่องย่อยให้เลือกอีกมากกว่า 4,000 ช่อง เลยทีเดียว

ในยุคปัจจุบันวิทยุสื่อสารยังคงถูกนำมาใช้งาน และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่นเดิม แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่ อีกทั้งดูเหมือนใช้งานง่าย สะดวกกว่า ทว่าอุปกรณ์อื่นกลับไม่สามารถทดแทนความสามารถของอุปกรณ์นี้ได้อย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นประโยชน์ที่เราสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้กับการสื่อสารระยะไกลได้อย่างหลากหลาย